วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ลูกน้องจากไปเพราะหัวหน้า

พนักงานส่วนใหญ่จากไปเพราะหัวหน้า…จริงหรือ?
พนักงานส่วนใหญ่จากไปเพราะหัวหน้า…จริงหรือ?
หัวหน้าแบบใดจึงกดดันจนทำให้พนักงานต้องลาออก?
คุณมีพฤติกรรมแบบหัวหน้าเหล่านั้นหรือไม่?
บ่อยครั้งเรามักจะได้ยินแนวคิดที่ว่า “People join organization but leave their boss.” หรือที่แปลได้ตรงๆ ตัวว่า คนเข้าทำงานเพราะองค์กรแต่จากไปเพราะหัวหน้า....ที่มาของแนวคิดนี้ เกิดจากการที่หลายๆ องค์กรพยายามที่จะสรรหาคนเก่งๆ เข้ามาสู่องค์กร แต่อาจไม่ได้ใช้เวลามากพอในการเก็บรักษาคนเก่งเหล่านั้นเอาไว้ได้นั่นเอง การที่พนักงานคนหนึ่งจะอยู่หรือลาออกไปจากองค์กร อะไรคือสาเหตุและปัจจัยหลักต่อการตัดสินใจเช่นนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วเรามักจะเข้าใจว่า “เงิน” หรือ “ค่าตอบแทนที่น่าพึงพอใจ” เป็นฟันเฟืองสำคัญที่ดึงดูดและรักษาให้คนเก่งอยู่กับองค์กร ซึ่งความคิดเช่นนี้ผมก็เห็นด้วยส่วนหนึ่ง เพราะเงินยังคงถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการที่จะรั้งให้พนักงานอยู่หรือจากไปจากองค์กร แต่หากจะถามว่าเงินคือตัวแปรสำคัญเพียงอย่างเดียวหรือไม่ ก็คงจะตอบว่าไม่ใช่ เพราะการจากไปของพนักงานอาจมีที่มาจากหลายๆ สาเหตุ ด้วยกัน
โดยปกติองค์กรเมื่อพนักงานลาออก องค์กรมักทำการสัมภาษณ์และสอบถามถึงสาเหตุของการลาออกหรือที่เรียกว่า Exist Interview และเราก็มักจะพบกับคำตอบที่ได้ยินจนคุ้นหูว่า ไม่ว่าจะเป็น “ไปเรียนต่อ” “ช่วยงานที่บ้าน” หรือ “ได้งานใหม่” เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นคำตอบเดิมๆ ที่อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้
HR ควรทำอย่างไรจึงจะสามารถหาเหตุผลที่แท้จริงได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับองค์กร เหตุใดคนเก่งๆ จึงลาออกไปอย่างน่าเสียดาย คำตอบคือลองทิ้งเวลาสักระยะหนึ่ง แล้วลองกลับไปสัมภาษณ์พนักงานที่ลาออกจากองค์กรไปแล้วสัก 6-8 เดือนถึงสาเหตุการลาออกที่แท้จริง แล้วคุณอาจพบคำตอบที่แตกต่างจากตอนที่ทำ Exit Interview ก็ได้ ผมใช้วิธีนี้กับหลาย ๆ องค์กรที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้และพบว่ากว่า 80% ของพนักงานที่ลาออกจากองค์กรไปแล้วส่วนใหญ่กลับคำให้การของตัวเอง และค้นพบด้วยว่าสาเหตุหลักของการลาออกนั้นมักมาจากปัญหาที่เกิดจากหัวหน้างาน
2nd Floor, A2 Building
274 Raintree Office Garden
T 66 2 719 6458-9 Bangkapi, Hauy Kwang
F 66 2 719 6457 Bangkok 10310
All rights reserved contact@slingshotasia.com
Orchid Slingshot
ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกันกับงานวิจัยของสถาบันด้านพัฒนาบุคลากรทั้งภายในและภายนอกประเทศที่ว่า คนเข้าทำงานเพราะองค์กรแต่จากไปเพราะหัวหน้า.... ได้เป็นอย่างดี
จากการได้สัมผัสกับผู้จัดการ หรือ หัวหน้างาน ในหลากหลายองค์กร พบว่าองค์กรไม่ได้มีการเตรียมความพร้อมให้กับผู้ที่จะขึ้นมาเป็นหัวหน้างานเท่าที่ควร ส่วนใหญ่การเลื่อนตำแหน่งมักอาศัยเกณฑ์ของ Technical Skill มากกว่า People Skill โดยดูจากผลงานในอดีตมากกว่าผลงานที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ความเชื่อเหล่านี้ไม่ถูกต้องเพราะแท้ที่จริงหัวหน้างานที่ดีควรจะต้องมี People Skill ที่ดีประกอบด้วย แต่องค์กรกลับมองข้ามความสำคัญในข้อนี้ไปอย่างน่าเสียดาย ในความเป็นจริง มีเพียงไม่กี่องค์กรที่มีการเตรียมความพร้อมด้าน People Skill ให้กับผู้ที่จะขึ้นมาเป็นหัวหน้างาน ส่วนใหญ่มักจะพัฒนา People Skill ให้กับหัวหน้างานก็ต่อเมื่อทำงานมาได้ระยะหนึ่ง บางองค์กรเลวร้ายกว่านั้นคือแทบจะไม่มีการพัฒนา People Skill ให้กับหัวหน้างานเลย จนทำให้เกิดเป็นปัญหาเรื้อรังและส่งผลให้คนเก่งคนดีในองค์กรต้องหลีกหนีหัวหน้างานเหล่านี้ด้วยการลาออกจากองค์กรไปเสียเอง และที่สำคัญการลาออกด้วยสาเหตุนี้ องค์กรมักไม่ได้รับทราบความจริงตอนทำ Exit Interview ด้วยเพราะพนักงานส่วนใหญ่รู้สึกว่า “พูดไปก็ไลฟ์บอย” (แปลว่าเสียเวลาเปล่า ๆ) ถึงแม้จะไม่อยู่กับองค์กรแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงอาจจะต้องเจอหน้ากันอยู่ ดังนั้นจะสร้างศัตรูไว้ทำไม (ยกเว้นกรณีเป็นศัตรูกันอยู่แล้วระหว่างที่ทำงานด้วยกันอยู่...ฮา)
เมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้มีโอกาสได้ฟังการบรรยายเรื่อง Leadership จากปรมาจารย์ ท่านหนึ่งที่ชื่อ Marshall Goldsmith ท่านได้กล่าวถึงการเป็นหัวหน้างานไว้อย่างน่าสนใจว่า What got you here, won’t get you there หรือแปลได้ใจความว่า “สิ่งที่ทำให้คุณสำเร็จในอดีต ไม่ได้แปลว่าจะช่วยให้คุณสำเร็จได้ในอนาคต” คำพูดนี้สอนการเป็นหัวหน้าได้อย่างดี เพราะท่านกำลังบอกเป็นนัยว่าหัวหน้าหลายคนใช้วิธีการเดิม ๆ ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จจนเติบใหญ่มาได้ ในการบริหารจัดการคนของพวกเขา เพราะพวกเขาคิดว่านั่นคือหนทางแห่งความสำเร็จ...ซึ่งอาจไม่จริงเสมอไป !
นอกจากนั้นท่านยังเขียนหนังสือชื่อเดียวกันกับคำพูดข้างต้นโดยอาศัยประสบการณ์ของท่านที่ทำงานกับองค์กรต่าง ๆ ในฐานะโค้ชของผู้บริหาร (Executive Coach) ระบุปัจจัย 20 อย่างที่ทำให้หัวหน้างาน “ขาด” จากการเป็นหัวหน้างานที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่ผมได้พบเจอในการทำงานให้กับหลาย ๆ องค์กรในบ้านเราเช่นกัน ซึ่งพอสรุปได้คร่าว ๆ สัก 5 ข้อดังนี้...
2nd Floor, A2 Building
274 Raintree Office Garden
T 66 2 719 6458-9 Bangkapi, Hauy Kwang
F 66 2 719 6457 Bangkok 10310
All rights reserved contact@slingshotasia.com
Orchid Slingshot
1. รับปากแล้วไม่ทำ หรือ รับปากในสิ่งที่ทำไม่ได้ เช่น การรับปากว่าปลายปีจะขึ้นเงินเดือนให้หรือให้โบนัสมากกว่าคนอื่น ๆ เป็นต้น การรับปากแบบนี้เป็นการให้สัญญาที่เกินจริง เพราะหลาย ๆ ครั้งการปรับเงินเดือนหรือให้โบนัสมักไม่ใช่อำนาจเด็ดขาดของหัวหน้างานคนเดียว
2. รับชอบแต่ไม่รับผิด ไม่กางปีกปกป้องลูกน้อง ประมาณว่าเอาผลงานของลูกน้องไปนำเสนอ โดยไม่ให้เครดิตกับลูกน้องแม้แต่น้อย แต่ถ้าลูกน้องทำพลาดไป ก็บอกคนอื่นว่า “ไม่รู้ซิ อันนี้ลูกน้องทำ เดี๋ยวจะกลับไปจัดการ บอกแล้วไม่ฟัง” อะไรประมาณนี้ ซึ่ง ดร. เสรี วงษ์มณฑา เคยกล่าวถึงเรื่องการทำงานของหัวหน้าที่ดีเอาไว้ว่า หัวหน้าทีหน้าที่ในการใช้ 3 อย่างนี้ในการบริหารจัดการคือ มือ-หัว-หน้าหมายความว่าหัวหน้าที่ดีต้องลงมือทำด้วย ไม่ใช่เอาแต่สั่งแต่ไม่ทำ ต้องรู้จักใช้หัวในการสร้างสรรค์ความคิดใหม่ ๆ และคิดหาวิธีปรับปรุงงานที่ทำอยู่ให้มีประสิทธิภาพ (แปลว่าใช้ทรัพยากรน้อยลง) และได้ประสิทธิผล (แปลว่าบรรลุผลตามที่มุ่งหมายไว้) มากยิ่งขึ้น และสุดท้ายต้องรู้จักที่จะเอาหน้าไปรับความผิดที่ทีมงานก่อนขึ้น แบบโบราณเรียกว่า “รับหน้า” ไม่ใช่ “หลบหน้า” แต่การรับผิดแทนลูกน้องก็ไม่ได้หมายความว่า ปลอยให้ความผิดพลาดเกิดขึ้นโดยไม่มีการว่ากล่าวตักเตือน
3. ตัดสินใจโดยไม่ฟังความคิดเห็นผู้อื่นหรือตัดสินใจโดยปราศจากคำอธิบายใด ๆ พูดง่าย ๆ คือการบริหารงานแบบขาดการมีส่วนร่วม ทุกอย่าง “ข้า” เป็นใหญ่ ถึงแม้บางครั้งจะเป็นที่เข้าใจได้ว่าการตัดสินใจโดยมีส่วนร่วมเป็นไปได้ยาก เช่นการตัดสินใจที่มีผลกระทบต่อพนักงาน เป็นต้น แต่หัวหน้าแบบนี้ก็จะไม่ได้ให้คำอธิบายอะไรที่ชัดเจนในภายหลังถึงเหตุผลที่ตัดสินใจเช่นนั้น จึงทำให้ลูกน้องยังคงเคลือบแคลงกับแนวทางการตัดสินใจดังกล่าว
4. พูดจาไม่ให้เกียรติลูกน้อง หัวหน้างานจำนวนหนึ่งมักจะเชื่อว่าตนเองมีความสนิทสนมกับลูกน้องเป็นอย่างดี จึงไม่จำเป็นต้องระวังคำพูดมากนัก ยิ่งลูกน้องที่ทำงานอยู่ด้วยกันมานาน ก็มักจะรู้จักนิสัยของห้วหน้าว่าพูดจาพาทีอย่างไร ทำให้หัวหน้างานมักไม่ระวังคำพูดจนบางครั้งก็มักได้ยินคำที่ไม่สุภาพหรือภาษาสมัยพ่อขุนฯผุดขึ้นมาระหว่างการทำงานอยู่เนื่อง ๆ ซึ่งหัวหน้าหลายคนมักเข้าใจไปเองว่าลูกน้องรับได้ แต่แท้ที่จริงแล้วผมกลับพบว่า ลูกน้องส่วนใหญ่รับไม่ได้ เพียงแต่พวกเขา “ไม่อยากพูด” เท่านั้น !
5. ตำหนลูกน้องต่อหน้าธารกำนัล ข้อนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่บรรดาลูกน้องทั้งหลายอึดอัดใจอยู่มิใช่น้อย เพราะหัวหน้างานส่วนใหญ่มักไม่รู้วิธีการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับพนักงาน หัวหน้าที่ดีควรต้องเรียนรู้ที่จะมองหาสิ่งที่ลูกน้องทำได้ดีและชมเชยลูกน้องต่อ
2nd Floor, A2 Building
274 Raintree Office Garden
T 66 2 719 6458-9 Bangkapi, Hauy Kwang
F 66 2 719 6457 Bangkok 10310
All rights reserved contact@slingshotasia.com
Orchid Slingshot
หน้าคนอื่น ๆ บ้าง ในทางกลับกันก็ต้องเรียนรู้ที่จะระงับสติอารมณ์ที่จะ “รับประทาน” (ด่า) ลูกน้องต่อหน้าคนอื่น ๆ เช่นกัน เอาแบบโบราณว่า “ติในที่ลับ ชมในที่แจ้ง” ไม่ใช่ “ติในที่แจ้ง แล้วชมในที่ลับ” แบบนี้มันกลับตาลปัตร ไป
ทั้ง 5 ข้อนี้ ฟังดูแล้วคุ้น ๆ ไหม ลองหันกลับมาสำรวจตัวเองดูซิว่าทำไปได้แล้วกี่ข้อ ผมรับประกันได้ว่า ถ้าคุณทำครบทั้ง 5 นี้ รับรองคุณจะประสบความสำเร็จในการทำให้ลูกน้อง “จากไป” แน่นอน !
จึงอยากฝากไว้ให้คิด ☺
อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา
กรรมการผู้จัดการ
บริษัท ออคิด-สลิงชอท จำกัด

ภาษิตสอนเจ้านาย

-->
  1. สุภาษิตสอนนาย

ลูกน้องจากไปเพราะหัวหน้า

พนักงานส่วนใหญ่จากไปเพราะหัวหน้า…จริงหรือ?
พนักงานส่วนใหญ่จากไปเพราะหัวหน้า…จริงหรือ?
หัวหน้าแบบใดจึงกดดันจนทำให้พนักงานต้องลาออก?
คุณมีพฤติกรรมแบบหัวหน้าเหล่านั้นหรือไม่?
บ่อยครั้งเรามักจะได้ยินแนวคิดที่ว่า “People join organization but leave their boss.” หรือที่แปลได้ตรงๆ ตัวว่า คนเข้าทำงานเพราะองค์กรแต่จากไปเพราะหัวหน้า....ที่มาของแนวคิดนี้ เกิดจากการที่หลายๆ องค์กรพยายามที่จะสรรหาคนเก่งๆ เข้ามาสู่องค์กร แต่อาจไม่ได้ใช้เวลามากพอในการเก็บรักษาคนเก่งเหล่านั้นเอาไว้ได้นั่นเอง การที่พนักงานคนหนึ่งจะอยู่หรือลาออกไปจากองค์กร อะไรคือสาเหตุและปัจจัยหลักต่อการตัดสินใจเช่นนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วเรามักจะเข้าใจว่า “เงิน” หรือ “ค่าตอบแทนที่น่าพึงพอใจ” เป็นฟันเฟืองสำคัญที่ดึงดูดและรักษาให้คนเก่งอยู่กับองค์กร ซึ่งความคิดเช่นนี้ผมก็เห็นด้วยส่วนหนึ่ง เพราะเงินยังคงถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการที่จะรั้งให้พนักงานอยู่หรือจากไปจากองค์กร แต่หากจะถามว่าเงินคือตัวแปรสำคัญเพียงอย่างเดียวหรือไม่ ก็คงจะตอบว่าไม่ใช่ เพราะการจากไปของพนักงานอาจมีที่มาจากหลายๆ สาเหตุ ด้วยกัน
โดยปกติองค์กรเมื่อพนักงานลาออก องค์กรมักทำการสัมภาษณ์และสอบถามถึงสาเหตุของการลาออกหรือที่เรียกว่า Exist Interview และเราก็มักจะพบกับคำตอบที่ได้ยินจนคุ้นหูว่า ไม่ว่าจะเป็น “ไปเรียนต่อ” “ช่วยงานที่บ้าน” หรือ “ได้งานใหม่” เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นคำตอบเดิมๆ ที่อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้
HR ควรทำอย่างไรจึงจะสามารถหาเหตุผลที่แท้จริงได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับองค์กร เหตุใดคนเก่งๆ จึงลาออกไปอย่างน่าเสียดาย คำตอบคือลองทิ้งเวลาสักระยะหนึ่ง แล้วลองกลับไปสัมภาษณ์พนักงานที่ลาออกจากองค์กรไปแล้วสัก 6-8 เดือนถึงสาเหตุการลาออกที่แท้จริง แล้วคุณอาจพบคำตอบที่แตกต่างจากตอนที่ทำ Exit Interview ก็ได้ ผมใช้วิธีนี้กับหลาย ๆ องค์กรที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้และพบว่ากว่า 80% ของพนักงานที่ลาออกจากองค์กรไปแล้วส่วนใหญ่กลับคำให้การของตัวเอง และค้นพบด้วยว่าสาเหตุหลักของการลาออกนั้นมักมาจากปัญหาที่เกิดจากหัวหน้างาน


ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกันกับงานวิจัยของสถาบันด้านพัฒนาบุคลากรทั้งภายในและภายนอกประเทศที่ว่า คนเข้าทำงานเพราะองค์กรแต่จากไปเพราะหัวหน้า.... ได้เป็นอย่างดี
จากการได้สัมผัสกับผู้จัดการ หรือ หัวหน้างาน ในหลากหลายองค์กร พบว่าองค์กรไม่ได้มีการเตรียมความพร้อมให้กับผู้ที่จะขึ้นมาเป็นหัวหน้างานเท่าที่ควร ส่วนใหญ่การเลื่อนตำแหน่งมักอาศัยเกณฑ์ของ Technical Skill มากกว่า People Skill โดยดูจากผลงานในอดีตมากกว่าผลงานที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ความเชื่อเหล่านี้ไม่ถูกต้องเพราะแท้ที่จริงหัวหน้างานที่ดีควรจะต้องมี People Skill ที่ดีประกอบด้วย แต่องค์กรกลับมองข้ามความสำคัญในข้อนี้ไปอย่างน่าเสียดาย ในความเป็นจริง มีเพียงไม่กี่องค์กรที่มีการเตรียมความพร้อมด้าน People Skill ให้กับผู้ที่จะขึ้นมาเป็นหัวหน้างาน ส่วนใหญ่มักจะพัฒนา People Skill ให้กับหัวหน้างานก็ต่อเมื่อทำงานมาได้ระยะหนึ่ง บางองค์กรเลวร้ายกว่านั้นคือแทบจะไม่มีการพัฒนา People Skill ให้กับหัวหน้างานเลย จนทำให้เกิดเป็นปัญหาเรื้อรังและส่งผลให้คนเก่งคนดีในองค์กรต้องหลีกหนีหัวหน้างานเหล่านี้ด้วยการลาออกจากองค์กรไปเสียเอง และที่สำคัญการลาออกด้วยสาเหตุนี้ องค์กรมักไม่ได้รับทราบความจริงตอนทำ Exit Interview ด้วยเพราะพนักงานส่วนใหญ่รู้สึกว่า “พูดไปก็ไลฟ์บอย” (แปลว่าเสียเวลาเปล่า ๆ) ถึงแม้จะไม่อยู่กับองค์กรแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงอาจจะต้องเจอหน้ากันอยู่ ดังนั้นจะสร้างศัตรูไว้ทำไม (ยกเว้นกรณีเป็นศัตรูกันอยู่แล้วระหว่างที่ทำงานด้วยกันอยู่...ฮา)
เมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้มีโอกาสได้ฟังการบรรยายเรื่อง Leadership จากปรมาจารย์ ท่านหนึ่งที่ชื่อ Marshall Goldsmith ท่านได้กล่าวถึงการเป็นหัวหน้างานไว้อย่างน่าสนใจว่า What got you here, won’t get you there หรือแปลได้ใจความว่า “สิ่งที่ทำให้คุณสำเร็จในอดีต ไม่ได้แปลว่าจะช่วยให้คุณสำเร็จได้ในอนาคต” คำพูดนี้สอนการเป็นหัวหน้าได้อย่างดี เพราะท่านกำลังบอกเป็นนัยว่าหัวหน้าหลายคนใช้วิธีการเดิม ๆ ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จจนเติบใหญ่มาได้ ในการบริหารจัดการคนของพวกเขา เพราะพวกเขาคิดว่านั่นคือหนทางแห่งความสำเร็จ...ซึ่งอาจไม่จริงเสมอไป !
นอกจากนั้นท่านยังเขียนหนังสือชื่อเดียวกันกับคำพูดข้างต้นโดยอาศัยประสบการณ์ของท่านที่ทำงานกับองค์กรต่าง ๆ ในฐานะโค้ชของผู้บริหาร (Executive Coach) ระบุปัจจัย 20 อย่างที่ทำให้หัวหน้างาน “ขาด” จากการเป็นหัวหน้างานที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่ผมได้พบเจอในการทำงานให้กับหลาย ๆ องค์กรในบ้านเราเช่นกัน ซึ่งพอสรุปได้คร่าว ๆ สัก 5 ข้อดังนี้...


1. รับปากแล้วไม่ทำ หรือ รับปากในสิ่งที่ทำไม่ได้ เช่น การรับปากว่าปลายปีจะขึ้นเงินเดือนให้หรือให้โบนัสมากกว่าคนอื่น ๆ เป็นต้น การรับปากแบบนี้เป็นการให้สัญญาที่เกินจริง เพราะหลาย ๆ ครั้งการปรับเงินเดือนหรือให้โบนัสมักไม่ใช่อำนาจเด็ดขาดของหัวหน้างานคนเดียว
2. รับชอบแต่ไม่รับผิด ไม่กางปีกปกป้องลูกน้อง ประมาณว่าเอาผลงานของลูกน้องไปนำเสนอ โดยไม่ให้เครดิตกับลูกน้องแม้แต่น้อย แต่ถ้าลูกน้องทำพลาดไป ก็บอกคนอื่นว่า “ไม่รู้ซิ อันนี้ลูกน้องทำ เดี๋ยวจะกลับไปจัดการ บอกแล้วไม่ฟัง” อะไรประมาณนี้ ซึ่ง ดร. เสรี วงษ์มณฑา เคยกล่าวถึงเรื่องการทำงานของหัวหน้าที่ดีเอาไว้ว่า หัวหน้าทีหน้าที่ในการใช้ 3 อย่างนี้ในการบริหารจัดการคือ มือ-หัว-หน้าหมายความว่าหัวหน้าที่ดีต้องลงมือทำด้วย ไม่ใช่เอาแต่สั่งแต่ไม่ทำ ต้องรู้จักใช้หัวในการสร้างสรรค์ความคิดใหม่ ๆ และคิดหาวิธีปรับปรุงงานที่ทำอยู่ให้มีประสิทธิภาพ (แปลว่าใช้ทรัพยากรน้อยลง) และได้ประสิทธิผล (แปลว่าบรรลุผลตามที่มุ่งหมายไว้) มากยิ่งขึ้น และสุดท้ายต้องรู้จักที่จะเอาหน้าไปรับความผิดที่ทีมงานก่อนขึ้น แบบโบราณเรียกว่า “รับหน้า” ไม่ใช่ “หลบหน้า” แต่การรับผิดแทนลูกน้องก็ไม่ได้หมายความว่า ปลอยให้ความผิดพลาดเกิดขึ้นโดยไม่มีการว่ากล่าวตักเตือน
3. ตัดสินใจโดยไม่ฟังความคิดเห็นผู้อื่นหรือตัดสินใจโดยปราศจากคำอธิบายใด ๆ พูดง่าย ๆ คือการบริหารงานแบบขาดการมีส่วนร่วม ทุกอย่าง “ข้า” เป็นใหญ่ ถึงแม้บางครั้งจะเป็นที่เข้าใจได้ว่าการตัดสินใจโดยมีส่วนร่วมเป็นไปได้ยาก เช่นการตัดสินใจที่มีผลกระทบต่อพนักงาน เป็นต้น แต่หัวหน้าแบบนี้ก็จะไม่ได้ให้คำอธิบายอะไรที่ชัดเจนในภายหลังถึงเหตุผลที่ตัดสินใจเช่นนั้น จึงทำให้ลูกน้องยังคงเคลือบแคลงกับแนวทางการตัดสินใจดังกล่าว
4. พูดจาไม่ให้เกียรติลูกน้อง หัวหน้างานจำนวนหนึ่งมักจะเชื่อว่าตนเองมีความสนิทสนมกับลูกน้องเป็นอย่างดี จึงไม่จำเป็นต้องระวังคำพูดมากนัก ยิ่งลูกน้องที่ทำงานอยู่ด้วยกันมานาน ก็มักจะรู้จักนิสัยของห้วหน้าว่าพูดจาพาทีอย่างไร ทำให้หัวหน้างานมักไม่ระวังคำพูดจนบางครั้งก็มักได้ยินคำที่ไม่สุภาพหรือภาษาสมัยพ่อขุนฯผุดขึ้นมาระหว่างการทำงานอยู่เนื่อง ๆ ซึ่งหัวหน้าหลายคนมักเข้าใจไปเองว่าลูกน้องรับได้ แต่แท้ที่จริงแล้วผมกลับพบว่า ลูกน้องส่วนใหญ่รับไม่ได้ เพียงแต่พวกเขา “ไม่อยากพูด” เท่านั้น !
5. ตำหนลูกน้องต่อหน้าธารกำนัล ข้อนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่บรรดาลูกน้องทั้งหลายอึดอัดใจอยู่มิใช่น้อย เพราะหัวหน้างานส่วนใหญ่มักไม่รู้วิธีการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับพนักงาน หัวหน้าที่ดีควรต้องเรียนรู้ที่จะมองหาสิ่งที่ลูกน้องทำได้ดีและชมเชยลูกน้องต่อ

หน้าคนอื่น ๆ บ้าง ในทางกลับกันก็ต้องเรียนรู้ที่จะระงับสติอารมณ์ที่จะ “รับประทาน” (ด่า) ลูกน้องต่อหน้าคนอื่น ๆ เช่นกัน เอาแบบโบราณว่า “ติในที่ลับ ชมในที่แจ้ง” ไม่ใช่ “ติในที่แจ้ง แล้วชมในที่ลับ” แบบนี้มันกลับตาลปัตร ไป
ทั้ง 5 ข้อนี้ ฟังดูแล้วคุ้น ๆ ไหม ลองหันกลับมาสำรวจตัวเองดูซิว่าทำไปได้แล้วกี่ข้อ ผมรับประกันได้ว่า ถ้าคุณทำครบทั้ง 5 นี้ รับรองคุณจะประสบความสำเร็จในการทำให้ลูกน้อง “จากไป” แน่นอน !
จึงอยากฝากไว้ให้คิด ☺
อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา
กรรมการผู้จัดการ
บริษัท ออคิด-สลิงชอท จำกัด

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ปัญหากับการเลี้ยงกุ้งปัจจุบัน

ปัญหาที่เกิดขึ้นในการเลี้ยงกุ้งกุลาดำในปัจจุบันที่สำคัญได้แก่ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพน้ำที่มีคุณภาพด้อย
ลงอันเนื่องมาจากการขยายตัวของฟาร์มเลี้ยงกุ้งกุลาดำในประเทศไทยที่มีเพิ่มขึ้นในหลาย ๆ ท้องที่ทำให้การเลี้ยง
ต้องมีความเสี่ยงต่อกุ้งเป็นโรคตายสูงมาก โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการเลี้ยงกุ้งกุลาดำแบบพัฒนามีการปล่อยกุ้ง
อย่างหนาแน่น และขาดระบบการควบคุมป้องกันของเสียที่ปล่อยออกมา แต่อย่างไรก็ตามการเลี้ยงกุ้งกุลาดำในทุก
ระบบไม่ว่าจะเป็นระบบความเค็มปกติหรือระบบความเค็มต่ำ หรือระบบน้ำหมุนเวียน หรือระบบปิดสนิมก็ตามการ
จัดการเรื่องคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยงมีความสำคัญมาก ผู้เลี้ยงกุ้งต้องมีความรู้และเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่
เกิดขึ้น เพื่อหาแนวทางในการป้องกันและแก้ไขเพื่อลดปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะมีผลต่อสุขภาพของกุ้งการเจริญเติบโต
และผลผลิตคุณสมบัติของน้ำที่มีความสำคัญในการเลี้ยงกุ้งกุลาดำมีดังนี้
1. ความเค็ม
กุ้งกุลาดำเป็นกุ้งที่มีความสามารถทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงของความเค็มในช่วงกว้างและถ้าความเค็มเปลี่ยน-
แปลงลดลงอย่างช้า ๆ สามารถปรับตัวอยู่ที่ความเค็มเป็นศูนย์เป็นเวลานานพอสมควร หรือความเค็มที่เพิ่มขึ้นจนถึง
45 พีพีทีแต่ความเค็มที่เหมาะสม และการเจริญเติบโตดีที่สุดคืออยู่ระหว่าง 15-20 พีพีที แต่ในปัจจุบันเราพบว่า
การเลี้ยงกุ้งที่ความเค็ม 3-10 พีพีที จะเลี้ยงกุ้งได้ง่ายเนื่องจากมีปัญหาเรื่องความเสียหายจากโรคกุ้งน้อยมาก
โดยเฉพาะปัญหาจากโรคแบคทีเรียเรืองแสงในบ่อกุ้งเป็นต้น เกษตรกรหลายรายจึงได้หันมาเลี้ยงกุ้งในระบบความ
เค็มต่ำมากขึ้น
2. พีเอช (ความเป็นกรดเป็นด่าง)
พีเอชของน้ำมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของกุ้งกุลาดำมาก เนื่องจากพีเอชของน้ำมีผลต่อคุณสมบัติของน้ำตัว
อื่น ๆ อีกเช่นมีผลต่อความเป็นพิษของแอมโมเนียไนไตรท์และไฮโดรเจนซัลไฟด์เป็นต้น พีเอชของน้ำที่เหมาะสมแก่
การเลี้ยงกุ้งกุลาดำ ควรอยู่ระหว่าง 7.5-8.5 การเปลี่ยนแปลงของพีเอชในบ่อเลี้ยงกุ้งกุลาดำขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง
เช่น คุณสมบัติของดิน ค่าอัลคาไลน์นิตี้ การผลิตและการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำซึ่งส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับปริมาณ
แพลงก์ตอนพืชน้ำที่ผ่านบริเวณที่ดินเป็นกรดหรือดินเปรี้ยวจะมีพีเอชต่ำ
เนื่องจากความเป็นกรดที่ละลายออกมาจากเนื้อดินจะทำให้พีเอชของน้ำต่ำโดยทั่วไปแล้วดินบริเวณป่าชายเลนมักจะ
เป็นดินเปรี้ยว ซึ่งเกิดจากการสะสมของไพไรท์ ซึ่งเป็นสารประกอบระหว่างเหล็กและกำมะถันในชั้นดินในสภาพที่
ขาดออกซิเจน ลักษณะดินส่วนมากมักจะมีการสะสมของสารอินทรีย์จากพืชต่าง ๆ สูง ดินพวกนี้เมื่อขุดขึ้นมาสัมผัส
อากาศ ไพไรท์จะถูกออกซิไดซ์เป็นกรดกำมะถัน (กรดซัลฟูริค)พีเอชของดินจะต่ำในบริเวณที่ดินเป็นกรดเหล่านี้เมื่อ
สูบน้ำเข้าไปในบ่อจะเห็นได้ชัดว่าน้ำจะมีสีส้มและมีตะกอนสนิมเหล็กเป็นจำนวนมาก การแก้ปัญหาเหล่านี้ทำได้โดย
ใช้น้ำล้างบ่อหลาย ๆ ครั้ง เมื่อล้างจานเพียงพอแล้วเติมน้ำเข้าบ่อให้ระดับน้ำในบ่อสูงกว่าหรือเสมอกับบ่อข้างเคียง
แล้วเติมวัสดุปูนหากน้ำในบ่อมีพีเอชที่ต่ำมากแพลงก์ตอนในบ่อจะเกิดขึ้นยากเกษตรกรต้องปรับพีเอชน้ำให้ได้ค่า
ตอนเช้าประมาณ 6.00 น.สูงประมาณ 7.5 จะช่วยให้แพลงก์ตอนพืชเพิ่มจำนวนได้เร็วขึ้น ระหว่างการเลี้ยงต้อง
ตรวจเช็คค่าพีเอชน้ำอยู่เสมอเมื่อพบว่าพีเอชน้ำเริ่มต่ำกว่า 7.5 ให้รีบเติมวัสดุปูนเพื่อดึงค่าพีเอชขึ้นมาในบ่อที่มี
แพลงก์ตอนพืชมากหรือในบ่อที่มีสีน้ำเข้มจัด การเปลี่ยนแปลงของพีเอชในรอบวันจะมากขึ้นด้วย โดยพีเอชของน้ำ
จะต่ำสุดในตอนเช้ามืดเมื่อมีการสะสมของคาร์บอนไดออกไซด์จากการเน่าสลายของเสียและการหายใจของกุ้งและ
แพลงก์ตอนรวมทั้งสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในบ่อส่วนในตอนบ่ายพีเอชของน้ำจะสูงที่สุดเนื่องจากการสังเคราะห์แสงของ
แพลงก์ตอนพืชมีการดึงคาร์บอนไดออกไซด์ไปใช้ในบ่อเลี้ยงกุ้งกุลาดำโดยทั่วไปพีเอชของน้ำในรอบวันไม่ควรแตกต่าง
มากกว่า 0.5
การเปลี่ยนแปลงพีเอชของน้ำในรอบวันมากเกินไปจะมีผลทำให้กุ้งเครียดมีผลต่อการเจริญเติบโตด้วย การแก้
ปัญหาโดยการลดปริมาณแพลงก์ตอนหรือถ่ายน้ำมากขึ้นเพื่อลดความเข้มของสีน้ำ หรือในกรณีที่ค่าอัลคาไลน์ในน้ำ
ต่ำ จำเป็นต้องมีการเติมวัสดุปูน เพื่อเพิ่มระดับค่าอัลคาไลน์จะทำให้พีเอชของน้ำตอนเช้าและตอนบ่ายเปลี่ยนแปลง
น้อยลง ส่วนในกรณีที่พีเอชในน้ำตอนบ่ายสูงมาก เนื่องจากมีการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ไปในการสังเคราะห์แสง
มากการเปิดเครื่องให้อากาศแบบเคล้าน้ำแทนการใช้ใบพัดตีน้ำจะทำให้การเพิ่มจำนวนของแพลงก์ตอนไม่มากนัก
ซึ่งมีผลให้พีเอชของน้ำไม่สูงจนเกินไป
3. ค่าอัลคาไลน์ในน้ำหรืออัลคาไลนิตี้ (Alkalinity)
โดยทั่วไปหมายถึงปริมาณหรือความสามารถในการเป็นด่างของน้ำ ซึ่งจะรวมปริมาณของคาร์บอเนต (Co32-)
ไบคาร์บอเนต (HCO3) และไฮดรอกซี่กรุ๊ป (OH-) เรียกรวมว่า อัลคาไลน์รวมค่า อัลคาไลน์ เป็นปัจจัยอีกอย่างหนึ่ง
ที่มีความสำคัญต่อคุณภาพน้ำสำหรับการเลี้ยงกุ้ง โดยจะมีความสัมพันธ์อย่างมากกับค่าพีเอชซึ่งค่าอัลคาไลน์จะเป็น
ตัวรักษาระดับพีเอชน้ำในบ่อให้คงที่หรือมีการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดและช่วยในการรักษาสีน้ำค่าอัลคาไลน์ในน้ำที่
เหมาะสมกับการเลี้ยงกุ้งกุลาดำคือ 80-160 พีพีเอ็ม โดยทั่วไปการรักษาระดับอัลคาไลน์ให้คงที่นั้น จะใช้วัสดุปูน
ในกลุ่มคาร์บอเนต ส่วนการเพิ่มอัลคาไลน์อาจจะให้โซเดียมไบคาร์บอเนตหรือโซเดียมคาร์บอเนตแล้วแต่ระดับพีเอช
ของน้ำ
4. ออกซิเจนที่ละลายในน้ำ
ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำมีผลต่อการกินอาหาร การเจริญเติบโตและสุขภาพกุ้งถ้าปริมาณออกซิเจนต่ำเกินไป
อาจมีผลทำให้กุ้งตายได้ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในบ่อจะเปลี่ยนแปลงคล้ายกับพีเอชคือมีค่าต่ำสุดตอนเช้ามืดเนื่องจาก
การใช้ไปในการย่อยสลายของสารอินทรีย์โดยจุลินทรีย์และการหายใจสิ่งมีชีวิตในบ่อ หลังจากแพลงก์ตอนพืชเริ่มมีการ
สังเคราะห์แสง ปริมาณออกซิเจนจะเพิ่มขึ้นสูงสุดในตอนบ่ายความสามารถในการละลายของออกซิเจนในน้ำขึ้นอยู่กับ
อุณหภูมิและความเค็ม น้ำที่มีความเค็มและอุณหภูมิเพิ่มขึ้นออกซิเจนละลายได้น้อยลง เช่นที่อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส
จุดอิ่มตัวของออกซิเจนในน้ำจืดเท่ากับ 7.54 พีพีเอ็ม (มิลลิกรัมต่อลิตร)แต่เมื่อความเค็มเพิ่มขึ้นเป็น 35 พีพีที ออกซิเจน
จะอิ่มตัวที่ 6.22 พีพีเอ็ม
ปัญหาการขาดออกซิเจนในบ่อเลี้ยงกุ้งกุลาดำจะพบในบ่อเลี้ยงกุ้งที่ปล่อยกุ้งไปในปริมาณมากหรือมีกุ้งติดมากแต่มี
เครื่องให้อากาศไม่เพียงพอโดยเฉพาะในช่วงเดือนสุดท้าย ในบ่อที่มีกุ้งหนาแน่นเมื่อมีการให้อาหารในปริมาณที่มากใน
แต่ละวัน เศษอาหารที่เหลือและของเสียที่กุ้งขับถ่ายออกมามากนั้นจะมีการดึงออกซิเจนไปใช้ในการย่อยสลายสิ่งเหล่านี้
รวมทั้งการหายใจของแพลงก์ตอนที่มีหนาแน่นและการหายใจของกุ้งที่มีขนาดใหญ่ขึ้นในบ่อจะมีผลทำให้ออกซิเจนใน
ตอนเช้าลดต่ำลงมามากถ้ามีกุ้งในปริมาณมากและเครื่องให้อากาศไม่เพียงพอ กุ้งอาจจะลอยตามผิวน้ำตั้งแต่ตอนกลางคืน
หลังเที่ยงคืนจนถึงตอนเช้ามืด เมื่อออกซิเจนที่ละลายในน้ำอยู่ในช่วง 1.7-2.0 พีพีเอ็ม ปริมาณออกซิเจนที่สูงกว่าระดับนี้
กุ้งจะไม่ลอย แต่พบว่าถ้าออกซิเจนต่ำกว่า 3.0 พีพีเอ็ม กุ้งจะไม่แข็งแรง การกินอาหารจะลดต่ำลงกว่าปกติ ในช่วงที่กุ้ง
กำลังลอกคราบ ถ้าระดับออกซิเจนต่ำกุ้งอาจจะลอกคราบแล้วตายได้ ดังนั้นควรจะวัดค่าออกซิเจนอย่างสม่ำเสมอเป็น
ประจำวันอย่างน้อยวันละครั้งในช่วงเช้า หรือวันละหลาย ๆ ครั้ง สำหรับบ่อที่มีการเลี้ยงกุ้งอย่างหนาแน่น เพื่อเป็นข้อมูล
ในการเลี้ยง และเป็นแนวทางในการเลี้ยงกุ้งในรุ่นต่อ ๆ ไป การวัดค่าออกซิเจนควรจะวัดในบริเวณที่ลึกที่สุดของบ่อ หรือ
ก้นบ่อ เนื่องจากกุ้งกุลาดำจะใช้เวลาส่วนใหญ่ที่บริเวณพื้นบ่อปริมาณออกซิเจนในน้ำควรอยู่ระหว่าง 4 พีพีเอ็มถึงจุดอิ่มตัว
การแก้ปัญหาเรื่องการขาดออกซิเจนในบ่อที่มีกุ้งอย่างหนาแน่นและกุ้งมีขนาดใหญ่ ต้องมีเครื่องให้อากาศและการเปลี่ยน
ถ่ายน้ำอย่างพอเพียง
5. สารประกอบไนโตรเจน (แอมโมเนีย และไนไตรท์)
แอมโมเนียและไนไตรท์ เป็นสารประกอบไนโตรเจนที่เป็นพิษต่อกุ้งและสัตว์น้ำแหล่งของสารประกอบไนโตรเจนใน
น้ำส่วนใหญ่มาจากสารอินทรีย์ ซึ่งอาจเกิดจากขบวนการเน่าสลายของเศษอาหารที่เหลือแพลงก์ตอนที่ตายเศษซากพืชซาก
สัตว์และสารอินทรีย์อื่น ๆ โดยจุลินทรีย์ แล้วปล่อยแอมโมเนียออกมาสู่แหล่งน้ำโดยตรงเช่นกัน ในสภาวะที่มีออกซิเจน
แบคทีเรียจำพวกไนตริไฟอิ้งแบคทีเรีย (nitrifying bacteria) จะเปลี่ยนแอมโมเนียไปเป็นไนไตรท์และไนเตรทตาม
ลำดับแอมโมเนียเป็นสารประกอบไนโตรเจนที่เป็นพิษต่อกุ้งและสัตว์น้ำเช่นเดียวกับไนไตรท์ แอมโมเนียที่พบอยู่ในน้ำ
จะอยู่ในสองรูปแบบคือ แอมโมเนีย (NH3) ซึ่งเป็นพิษต่อสัตว์น้ำ และแอมโมเนียอิออน(NH4+) ซึ่งไม่เป็นพิษต่อสัตว์
น้ำในการวัดแอมโมนียโดยทั่วไปจะวัดรวมทั้งสองรูป แอมโมเนียทั้งสองรูปแบบนี้จะเปลี่ยนกลับไปกลับมาตามพีเอชของ
น้ำและอุณหภูมิของน้ำ โดยเฉพาะพีเอชของน้ำที่สูงขึ้นอัตราส่วนของแอมโมเนีย(NH3) จะสูงขึ้น ทำให้ความเป็นพิษ
ต่อสัตว์น้ำมีมากขึ้น แต่ถ้าพีเอชของน้ำลดลง แอมโมเนียในรูปแอมโมเนียอิออนจะมีในอัตราส่วนที่มากขึ้น ทำให้ความ
เป็นพิษต่อสัตว์น้ำลดลง
เมื่อแอมโมเนียในน้ำปริมาณสูงขึ้น จะมีผลให้การขับถ่ายแอมโมเนียของกุ้งทำได้น้อยลงทำให้เกิดการสะสมของ
แอมโมเนียในเลือดและเนื้อเยื่อ ส่งผลให้พีเอชของเลือดเพิ่มขึ้นและมีผลต่อการทำงานของเอ็นไซม์ แอมโมเนียจะทำให้
การใช้ออกซิเจนของเนื้อเยื่อสูงขึ้น แอมโมเนียจะไปทำลายเหงือกและความสามารถในการขนส่งออกซิเจนและทำให้กุ้ง
อ่อนแอติดโรคได้ง่าย ระดับความเข้มข้นของแอม-โมเนียที่ทำให้สัตว์น้ำตายโดยปกติอยู่ในช่วง 0.4-2.0 มิลลิกรัมต่อ
ลิตรในรูปของ NH3 ในการทดลองแบบพิษเฉียบพลันระหว่าง 24-72 ชั่วโมง แต่สำหรับกุ้งมีรายงานว่า แอมโมเนีย
ที่ความเข้มข้น 1.29 มิลลิกรัมต่อลิตรในรูป NH3 จะทำให้กุ้งตายได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ในระยะเวลา 48 ชั่วโมงความ
เป็นพิษของไนไตรท์ต่อสัตว์น้ำเกิดจากการที่ไนไตรท์ไปออกซิไดซ์เหล็ก ซึ่งเป็นองค์ประกอบฮีโมโกลบิน ทำให้กลายเป็น
เมทธีโมโกลบินซึ่งไม่สามารถขนถ่ายออกซิเจนได้ ทำให้เกิดการตายเนื่องจากการขาดออกซิเจน และคาดว่าขบวนการ
เช่นเดียวกันนี้อาจเกิดกับฮีโมไซยานินของพวกกุ้งระดับความเป็นพิษของไนไตรท์จะเพิ่มขึ้นเมื่อค่าออกซิเจนที่ละลายน้ำ
(DO) และค่าพีเอชน้ำลดลง นอกจากนี้ความเป็นพิษของไนไตรท์จะถูกยับยั้งโดยคลอไรด์ในน้ำดังนั้นในน้ำทะเลซึ่งมี
คลอไรด์สูงความเป็นพิษของไนไตรท์ต่อสัตว์น้ำจึงค่อนข้างต่ำเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งที่ใช้น้ำทะเลโดยตรงนั้นปัญหาของ
ความเป็นพิษของไนไตรท์ต่อกุ้งจะน้อย แต่สำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งในระบบความเค็มต่ำซึ่งน้ำในบ่อมีปริมาณของ
คลอไรด์ในน้ำน้อย ปัญหาความเป็นพิษของไนไตรท์ในบ่อกุ้งจึงเกิดได้ง่ายกว่า การใส่เกลือหรือเติมเกลือลงในน้ำจึงมี
ความจำเป็นอย่างมากหากพบว่าค่าไนไตรท์ในบ่อสูง
การป้องกันหรือแก้ปัญหาเรื่องความเป็นพิษของแอมโมเนีย และไนไตรท์สูง โดยการควบคุมการให้อาหารไม่ให้เกลือ
การควบคุมค่าของพีเอชในบ่อให้อยู่ระหว่าง 7.5-8 อีกทั้งมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำและการให้อากาศที่พอเพียงปัญหาความเป็น
พิษจากสารประกอบไนโตรเจนทั้งสองตัวนี้จะหมดไป
6. ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (แก๊สไข่เน่า)
ในสภาพที่ขาดออกซิเจน แบคทีเรียบางชนิดจะสามารถใช้กำมะถัน (ซัลเฟอร์) ในรูปซัลเฟต และสารประกอบกำมะถัน
ตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในรูปออกซิไดซ์และเปลี่ยนสาร (ซัลเฟอร์) ประกอบเหล่านี้ให้อยู่ในรูปของซัลไฟด์ ซึ่งจะอยู่ในสามรูปแบบคือ
ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S), HS-, HS= และ S= จะขึ้นอยู่กับพีเอชของน้ำ น้ำที่มีพีเอชต่ำจะมีเปอร์เซ็นต์ของ H2S สูง
แต่เมื่อพีเอชสูงขึ้น เปอร์เซ็นต์ H2S จะลดลง แต่มี HS- และ S= มากขึ้นความเป็นพิษต่อสัตว์น้ำลดลงด้วย
ตารางแสดงเปอร์เซ็นต์ของไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S)
ที่พีเอชต่าง ๆ กัน
อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส
พีเอช เปอร์เซ็นต์
5.0
5.5
6.0
6.5
7.0
7.5
8.0
8.5
9.0 99.0
97.0
91.1
76.4
50.6
24.4
9.3
3.1
1.0

ความเป็นพิษของไฮโดรเจนซัลไฟด์ จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับการขาดออกซิเจน เนื่องจากไปขัดขวางออกซิเจนภายใน
เซลล์ทำให้ปริมาณแลกเตท (lactate) ในเลือดสูงขึ้น ความเป็นพิษของไฮโดรเจนซัลไฟด ์จะรุนแรงกว่าการขาดออกซิเจน
ระดับความเข้มข้นของไฮโดรเจนซัลไฟด์สูงสุดที่ไม่เป็นอันตรายต่อกุ้งกุลาดำคือ 0.033 พีพีเอ็ม การเกิดไฮโดรเจนซัลไฟด์
ในบ่อเลี้ยงกุ้งกุลาดำ ส่วนใหญ่มาจากการให้อาหารมากเกินไป หรือแพลงก์ตอนพืชตายเป็นจำนวนมากแล้วเกิดการเน่าสลาย
พื้นบ่อที่มีสีดำและมีกลิ่นคล้ายไข่เน่า เป็นลักษณะการเกิดไฮโดรเจนซัลไฟด์ การแก้ปัญหาทำได้โดยเพิ่มเครื่องให้อากาศ ดูด
เลนหรือตะกอนสีดำที่เน่าเสียพื้นบ่อออกไป(เก็บในบ่อเก็บเลน) และมีการถ่ายน้ำมากขึ้นเพื่อระบายของเสียพื้นบ่อที่อาจจะฟุ้ง
กระจายในขณะที่ดูดเลน เพิ่มพีเอชของน้ำโดยเฉพาะในระดับพื้นบ่อโดยการใช้วัสดุปูนละลายน้ำสาดให้ทั่วบ่อ ความเป็นพิษ
ของไฮโดรเจนซัลไฟด์ก็จะลดลง แต่การป้องกันที่ดีที่สุดคือรักษาพื้นบ่อให้สะอาดและระดับออกซิเจนสูงตลอดระยะเวลาใน
การเลี้ยงจะไม่เกิดปัญหาเรื่องก๊าซไข่เน่า

วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สุภาษิตสอนนาย

สุภาษิตสอนนาย
ภาษิตของเก่า ท่านเล่าขาน มาแต่ครั้งโบราณ มีมากหลาย
เป็นคำกลอนสอนสั่ง ทั้งหญิงชาย “สุภาษิตสอนนาย” ไม่เห็นมี

แม้โชคช่วยอำนวย เป็นนายเขา อย่าเป็นคนหูเบา ไม่ถ้วนถี่
จับเอาความข้างเดียว เที่ยวพาที ให้พิจารณาความดี ที่ผลงาน

นายที่ดี ต้องเอาใจใส่ลูกน้อง คอยสอดส่องทุกข์สุข อยู่ทุกด้าน
คอยช่วยเหลือ ถ้าลูกน้องนั้นต้องการ แต่ไม่ถึงกับจุ้นจ้าน จนเกินควร

แม้ลูกน้องทำผิด ไม่คิดข่ม พิจารณาเหมาะสม โดยทั่วถ้วน
จงพูดจาว่ากล่าว อย่างนิ่มนวล ไม่ลามรวน เรื่องเก่าให้เนานาน

อันการเตือนนั้นเล่า ต้องเข้าท่า ไม่ดุด่าต่อหน้า คนทั้งบ้าน
เรียกไปเตือนสองต่อสอง ห้องทำงาน เที่ยวโจษขานลับหลัง ฟังไม่งาม

งานสำเร็จลง ก็ด้วยเราช่วยกัน ไม่ควรดื้อถือรั้น ฟังไม่ห้าม
เป็นนายเขาเอาแต่ใจ ใครก็ตาม ควรฟังความเห็นอื่นบ้าง เป็นทางดี

อันการงานทั้งหลาย ควรจ่ายแจก มีการจัดแบ่งแยก เป็นหน้าที่
หากคนเดียวจะรวบไว้ ไม่เข้าที ลูกน้องหรือจะมี กำลังใจ

เป็นนายเขาต้องขยัน หมั่นศึกษา ดูให้เป็นก้าวหน้า ทันสมัย
ไม่ล้าหลัง ห่างเหินจนเกินไป ลูกน้องก้าวหน้าไกล ตามไม่ทัน

ไม่จำเป็นต้องศึกษา มากกว่าเขา ให้รู้หลักพอเป็นเค้า เขาเชื่อมั่น
แม้เป็นนายรู้จักใช้ สบายครัน ไม่จำเป็นต้องฟาดฟัน อยู่คนเดียว


เมื่อลูกน้องก้าวหน้า ก็อย่าขวาง หรือคิดหาลู่ทาง คอยหน่วงเหนี่ยว
ทำทีท่าบึ้งตึง ถมึงเกลียว เข้าขับเคี่ยวกันท่า ไม่น่ายล

เมื่อมีส่วนร่วมแบ่ง ไม่แย่งก่อน ลูกน้องต่างเดือดร้อน อยู่ทุกหน
ไม่คิดแต่จะเอา เข้ากระเป๋าตน คิดถึงคนอื่นเขา จึงเข้าการ

อันหัวหน้ามีดี ที่เมตตา ปรารถนาให้เขาสุข ทุกสถาน
กรุณาเติมต่อ แต่พอประมาณ ให้เขาผ่านพ้นทุกข์ สุขฤทัย

ประกอบกับ มุทิตา คือพาชื่น เห็นคนอื่นก้าวหน้า พาสดใส
ไม่ควรคิด อิจฉาอยู่ในใจ เขาทำได้ดีกว่า น่าจะชม

อีกทั้งติด อุเบกขา ไม่อาฆาต เห็นลูกน้องผิดพลาด ไม่ทับถม
คอยจับผิด คิดว่าตามอารมณ์ ไม่เหมาะสม เที่ยวว่าด่าประจาน

หัวหน้าดี นั้นให้เห็นเป็นตัวอย่าง ช่วยเขาทำทุกอย่าง จนรอบด้าน
ไม่เอาเปรียบใช้คนอื่น ตัวชื่นบาน แล้วเสนอผลงาน เพื่อตนเอง

เมื่อปัญหาเกี่ยวไป ถึงภายนอก ตัวหัวหน้า ต้องออก ถึงจะเก่ง
เข้ารับผิดชอบด้วย ช่วยบรรเลง ลูกน้องเกรงว่าเรา นั้นเอางาน

แม้หัวหน้าคนใด ได้เช่นนี้ คงจะมีคนรัก สมัครสมาน
มีคนขอเป็นลูกน้อง เกินต้องการ ใครพบพาน ก็เป็นบุญ เกื้อหนุนเอย

บูรชัย ศิริมหาสาคร

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ภาษิตสอนเจ้านาย

สุภาษิตสอนนาย
ภาษิตของเก่า ท่านเล่าขาน มาแต่ครั้งโบราณ มีมากหลาย
เป็นคำกลอนสอนสั่ง ทั้งหญิงชาย “สุภาษิตสอนนาย” ไม่เห็นมี

แม้โชคช่วยอำนวย เป็นนายเขา อย่าเป็นคนหูเบา ไม่ถ้วนถี่
จับเอาความข้างเดียว เที่ยวพาที ให้พิจารณาความดี ที่ผลงาน

นายที่ดี ต้องเอาใจใส่ลูกน้อง คอยสอดส่องทุกข์สุข อยู่ทุกด้าน
คอยช่วยเหลือ ถ้าลูกน้องนั้นต้องการ แต่ไม่ถึงกับจุ้นจ้าน จนเกินควร

แม้ลูกน้องทำผิด ไม่คิดข่ม พิจารณาเหมาะสม โดยทั่วถ้วน
จงพูดจาว่ากล่าว อย่างนิ่มนวล ไม่ลามรวน เรื่องเก่าให้เนานาน

อันการเตือนนั้นเล่า ต้องเข้าท่า ไม่ดุด่าต่อหน้า คนทั้งบ้าน
เรียกไปเตือนสองต่อสอง ห้องทำงาน เที่ยวโจษขานลับหลัง ฟังไม่งาม

งานสำเร็จลง ก็ด้วยเราช่วยกัน ไม่ควรดื้อถือรั้น ฟังไม่ห้าม
เป็นนายเขาเอาแต่ใจ ใครก็ตาม ควรฟังความเห็นอื่นบ้าง เป็นทางดี

อันการงานทั้งหลาย ควรจ่ายแจก มีการจัดแบ่งแยก เป็นหน้าที่
หากคนเดียวจะรวบไว้ ไม่เข้าที ลูกน้องหรือจะมี กำลังใจ

เป็นนายเขาต้องขยัน หมั่นศึกษา ดูให้เป็นก้าวหน้า ทันสมัย
ไม่ล้าหลัง ห่างเหินจนเกินไป ลูกน้องก้าวหน้าไกล ตามไม่ทัน

ไม่จำเป็นต้องศึกษา มากกว่าเขา ให้รู้หลักพอเป็นเค้า เขาเชื่อมั่น
แม้เป็นนายรู้จักใช้ สบายครัน ไม่จำเป็นต้องฟาดฟัน อยู่คนเดียว


เมื่อลูกน้องก้าวหน้า ก็อย่าขวาง หรือคิดหาลู่ทาง คอยหน่วงเหนี่ยว
ทำทีท่าบึ้งตึง ถมึงเกลียว เข้าขับเคี่ยวกันท่า ไม่น่ายล

เมื่อมีส่วนร่วมแบ่ง ไม่แย่งก่อน ลูกน้องต่างเดือดร้อน อยู่ทุกหน
ไม่คิดแต่จะเอา เข้ากระเป๋าตน คิดถึงคนอื่นเขา จึงเข้าการ

อันหัวหน้ามีดี ที่เมตตา ปรารถนาให้เขาสุข ทุกสถาน
กรุณาเติมต่อ แต่พอประมาณ ให้เขาผ่านพ้นทุกข์ สุขฤทัย

ประกอบกับ มุทิตา คือพาชื่น เห็นคนอื่นก้าวหน้า พาสดใส
ไม่ควรคิด อิจฉาอยู่ในใจ เขาทำได้ดีกว่า น่าจะชม

อีกทั้งติด อุเบกขา ไม่อาฆาต เห็นลูกน้องผิดพลาด ไม่ทับถม
คอยจับผิด คิดว่าตามอารมณ์ ไม่เหมาะสม เที่ยวว่าด่าประจาน

หัวหน้าดี นั้นให้เห็นเป็นตัวอย่าง ช่วยเขาทำทุกอย่าง จนรอบด้าน
ไม่เอาเปรียบใช้คนอื่น ตัวชื่นบาน แล้วเสนอผลงาน เพื่อตนเอง

เมื่อปัญหาเกี่ยวไป ถึงภายนอก ตัวหัวหน้า ต้องออก ถึงจะเก่ง
เข้ารับผิดชอบด้วย ช่วยบรรเลง ลูกน้องเกรงว่าเรา นั้นเอางาน

แม้หัวหน้าคนใด ได้เช่นนี้ คงจะมีคนรัก สมัครสมาน
มีคนขอเป็นลูกน้อง เกินต้องการ ใครพบพาน ก็เป็นบุญ เกื้อหนุนเอย

บูรชัย ศิริมหาสาคร